เจาะประเด็น-5-เหตุทำอิตาลีตกรอบ 2017-11-14

          เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของหลายๆคน ที่อิตาลี ไม่ผ่านไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย การแพ้สวีเดน ด้วยสกอร์รวมสองนัด 0-1 ทำให้ทีมอัซซูรี่ ไม่ได้ไปฟุตบอลโลกครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1958 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้ว คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเขาไม่ดีพอที่จะเข้ารอบ นี่คือ 5 ข้อสำคัญในความล้มเหลวครั้งนี้

1) ไม่แกร่งพอ เวลาเจอทีมใหญ่

          นับตั้งแต่ จาน ปิเอโร เวนตูร่า เข้ามาคุมทีมชาติอิตาลี เขาสามารถเอาชนะทีมเล็กๆได้ตามมาตรฐานก็จริง แต่กับทีมใหญ่ๆ ในเกมที่มีความกดดัน เขาไม่ชนะใครเลย เกมแรก ของเวนตูร่า ในการคุมอิตาลี คือการเจอฝรั่งเศส ที่บารี่ ปรากฎว่า แพ้ไป 1-3 ตามด้วยเล่นกับสเปน ในบอลโลกรอบคัดเลือกก็ได้แค่เสมอ 1-1 ก่อนที่จะมาอุ่นเครื่องกับเยอรมัน ก็ได้แค่เสมออีก 0-0 ในปี 2017 อิตาลีไปเยือนสเปน ก่อนแพ้ไป 0-3 จากนั้น มาในเกมเพลย์ออฟ สองนัดกับสวีเดน ก็แพ้ 1 เสมอ 1 จะเห็นได้ว่า เวลาเจอกับทีมใหญ่ อิตาลี ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าดีพอจะเป็นผู้ชนะ จึงลงท้ายด้วยการตกรอบในที่สุด

2) โค้ชฝีมือไม่ถึง

          อิตาลี มีโค้ชเก่งๆมากมาย อันโตนิโอ คอนเต้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเชลซี เมื่อซีซั่นก่อน , คาร์โล อันเชล็อตติ ได้แชมป์ยุโรปมาแล้วหลายสมัย รวมไปถึง ฟาบิโอ คาเปลโล่ , มาร์เซลโล่ ลิปปี้ หรือ อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ แต่สหพันธ์ กลับไปเลือกเวนตูร่า เข้ามาคุมทีม เวนตูร่า ในอดีต เคยคุมทีมแต่ทีมกลางๆ ค่อนไปทางเล็ก และไม่เคยมีประสบการณ์ในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนมาคุมทีมชาติ เขาคุม เมสซิน่า,เวโรน่า , ปิซ่า ,บารี่ และโตริโน่ ดังนั้น เรื่องของแท็กติกส์ ก็มีจำกัด อิตาลียุคของเขา ไม่มีการพลิกแพลง ระบบ 3-5-2 ก็ใช้อยู่แบบนั้นตลอดเกม ซึ่ง ถ้าเป็นโค้ชสมัยใหม่ เราจะเห็นการประยุกต์ ปรับเปลี่ยนระบบการเล่นตลอดเกม ซึ่งไม่เกิดขึ้นกับเวนตูร่า ขณะที่การเลือกตัวผู้เล่น ก็ทำได้น่าขัดใจ ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ปีกความเร็วจัด ที่ยิงประตูมากมายกับนาโปลี ในซีซั่นนี้ ไม่ได้ โอกาสลงเล่นในเกมเลกที่สอง กับสวีเดน สักนาทีเดียว  แต่ตัวที่ไม่ได้เล่นดีเลยกับสโมสร อย่างเฟเดริโก้ เบร์นาร์เดสคี่ กลับได้โอกาสลงเป็นโจ๊กเกอร์ตัวสุดท้าย

3) ไม่มีกองหน้าเวิลด์คลาส

          ย้อนอดีตไปในทุกยุค อิตาลี มีกองหน้าเวิลด์คลาส อย่างสม่ำเสมอ เปาโล รอสซี่ ดาวซัลโวบอลโลก 1982 , โรแบร์โต้ บาจโจ้ , จานฟรังโก้ โซล่า, คริสเตียน วิเอรี่ , อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่  หรือ ฟิลิปโป้ อินซากี้ แต่ในยุคปัจจุบัน พวกเขาไม่มีหัวหอกที่สามารถขู่คู่แข่งได้เลย ชิโร่ อิมโมบิเล่ ยิง 14 ประตูให้กับลาซิโอ ในซีซั่นนี้ แต่ พอมาเจอคู่แข่งที่เขี้ยวจริงๆ ก็ไปไม่รอด อันเดรีย เบล็อตติ ได้ใส่เบอร์ 9 ให้ทีมอิตาลีชุดนี้ ยังเป็นแค่ดาวรุ่ง ไม่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ รวมไปถึง มาโนโล่ กับเบียดินี่ ก็เป็นกองหน้าระดับกลางๆที่เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อไม่มีหัวหอก ระดับท็อปคลาส ทำให้ไม่สามารถเจาะประตูคู่แข่งที่ตั้งรับอย่างเหนียวแน่นได้ 2 นัด 180 นาที อิตาลี ไม่มีโอกาสได้ลุ้นแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย

4) นักเตะขาดความเข้าใจในเกมระดับชาติ

          อันเดรีย ปิร์โล่ ตำนานของอิตาลี ออกมาวิจารณ์ขุนพลอัซซูรี่อย่างเผ็ดร้อน โดยระบุว่า การเล่นในยุโรป ไม่เหมือนกับในอิตาลี ที่ผู้ตัดสินจะใจดี แจกฟรีคิกง่ายๆ แม้ในจังหวะที่กระทบกระทั่งกันเล็กน้อยปิร์โล่ บอกว่า ในเกมใหญ่ขนาดนี้ ผู้ตัดสินทุกคนจะเน้นความชัวร์ การจะให้จุดโทษ หรือฟรีคิก ต้องมั่นใจ 100% ในเกมกับสวีเดน มีหลายๆจังหวะที่ อิตาลีเรียกร้องขอจุดโทษ แต่ผู้ตัดสินก็ปฏิเสธที่จะให้ นี่คือความแตกต่างของเกมกัลโช่เซเรียอา กับ เวทีระดับทวีป ในจุดนี้นักเตะหลายๆคนไม่มีประสบการณ์ในเกมยุโรปมาก่อน ก็จะจับจังหวะไม่ถูก

5) ขาดเจเนเรชั่นของดาวรุ่ง

          ในอิตาลี ชุดที่แพ้สวีเดน ผู้เล่นที่ถูกเรียกเข้ามาทั้งหมด มีคนที่อายุต่ำกว่า 23 แค่คนเดียวเท่านั้น คือ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารของเอซี มิลาน ที่เหลือก็อายุ 23 อัพทั้งสิ้น มองดูประเทศอื่นๆในยุโรป มีนักเตะดาวรุ่งก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักทีมชาติได้ เยอรมัน มิติโม แวร์เนอร์ (21),เลรอย ซาเน่ (21),โจชัว คิมมิช (22),นิคลาส ซูเล่ (22)อังกฤษ มี เดเล่ อัลลี่ (21),แฮร์รี วิงก์ส (21), มาร์คัส แรชฟอร์ด (20),แทมมี่ อับราฮัม (20) ฝรั่งเศส มี คีลียัน เอ็มบัปเป้ (18),อุสมาน เดมเบเล่ (20),อ็องโตนี่ มาร์กซียาล (21),คิงสลีย์ โคมัน (21) ,โตมาส์ เลมาร์ (22)แต่อิตาลี เต็มไปด้วยนักเตะลายคราม ข้อดี คือได้ประสบการณ์ แต่ข้อเสียคือขาดความสดใหม่ ความมุ่งมั่น และความทะเยอทะยาน ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า ใน ยูโร 2020 อิตาลี จะคัมแบ็กกลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามได้อีกครั้งหรือไม่